2557/07/24

มรดกโลกในฟิลิปปินส์ 1 : นครประวัติศาสตร์วีกัน

ประเภท : มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ. 2542
ชื่อเป็นทางการ : เมืองประวัติศาสตร์วีกัน (Historic Town of Vigan)
ที่ตั้ง : จังหวัดอิโลโกสซูร์ ฟิลิปปินส์
เรียบเรียง : วราพรรณ  พูลสวัสดิ์

เมืองประวัติศาสตร์วีกัน (Historic Town of Vigan)

ความเป็นมาและความสำคัญ

วีกัน เป็นเมืองมรดกโลกในประเทศฟิลิปปินส์ สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 (พุทธศตวรรษที่ 21) จัดเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุด ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะลูซอน ในจังหวัดอีโลโกสซูร์ (Ilocos Sur) ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่างของการวางผังเมืองที่ดีในยุคอาณานิคมสเปนในเอเชีย โดยวางผังเมืองเป็นรูปแบบเมืองการค้าของยุโรปในเอเชียที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมยุโรปได้อย่างกลมกลืน เป็นผลให้เกิดวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ของเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ภาพจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Vigan 

เมืองวีกันยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยอาณานิคมของสเปนไว้ได้อย่างดี ถนน และตึกเป็นแบบสเปน อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ทรงสเปนที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่มากในเขตเมืองเก่า มีโบสถ์เก่าแก่ตั้งแต่สมัยอาณานิคมที่มีชื่อเสียง เช่น มหาวิหารวีกัน (Cathedral of Vigan) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ถนนในเมืองนี้จึงอนุญาตให้เฉพาะรถม้าเท่านั้นที่สัญจรได้

มหาวิหารวีกัน 
ภาพจาก : http://theaseannewsblog.blogspot.com/p/historic-town-of-vigan-philippines.html

รถม้าเท่านั้นที่อนุญาตให้สัญจรได้
ภาพจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Vigan 

ที่ตั้ง 

ตัวเมืองวีกันตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำอาบรา (Abra) ติดกับทะเลจีนใต้ ในเขตจังหวัดอีโลโกสซูร์ เป็นเมืองริมทะเลด้านตะวันตกของเกาะลูซอน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ห่างจากซานเฟร์นันโด รวม 140 กม. บริเวณที่เป็นเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโกวันเตส (Govantes) และแม่น้ำเมสตีโซ (Mestizo) 

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

เมืองประวัติศาสตร์วีกัน ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2542 โดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน 2 ข้อ ดังนี้
(ii) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสารณ์สถานประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใด ๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
(iv) เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


อ้างอิง : 
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. มูลนิธิวิกิมีเดีย. “วีกัน” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/วีกัน  (25 มิถุนายน 2557) .

Read more →

ประชาคมอาเซียน : 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียน

เรียบเรียง :  นัชรี  อุ่มบางตลาด

ประชาคมอาเซียน

"ประชาคมอาเซียน" ประกอบด้วย 3 ประชาคมย่อย ซึ่งเปรียบเสมือน 3 เสาหลัก ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ได้แก่
  • ด้านการเมือง ให้จัดตั้ง "ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน หรือ ASEAN Political- Security Community (APSC)"
  • ด้านเศรษฐกิจ ให้จัดตั้ง "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ ASEAN Economic Community (AEC)"
  • ด้านสังคมและวัฒนธรรม ให้จัดตั้ง "ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน หรือ ASEAN Socio-Culltural Community (ASCC)"

1. ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community หรือ APSC) 

ความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมือง เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาด้านอื่นๆ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน จึงเป็นเสาหลักความร่วมมือหนึ่งในสามเสาหลัก ที่เน้นการรวมตัวของอาเซียนเพื่อสร้างความมั่นใจ เสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนในอาเซียน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และปราศจากภัยคุกคามด้านการทหาร และภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ เช่น ปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

นอกจากการมีเสถียรภาพทางการเมืองของภูมิภาคแล้ว ผลลัพธ์ประการสำคัญ ที่จะเกิดขึ้น จากการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ก็คือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียน จะมีกลไกและเครื่องมือที่ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา ที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งด้านการเมือง ระหว่างรัฐสมาชิกด้วยกันเอง ซึ่งจะต้องแก้ไขโดยสันติวิธี หรือปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง เช่น การก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติด ปัญหาโจรสลัด และอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น

2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC)

ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันสูง ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวเอง เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจโลก รวมถึงการรวมกลุ่มการค้าของประเทศต่างๆ อาทิ สหภาพยุโรป และเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบให้จัดตั้ง “ประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน” ขึ้นภายในปี 2558 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความมั่นคง มั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ

ประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยขยายปริมาณการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศที่สาม สร้างอำนาจการต่อรอง และสร้างศักยภาพในการแข่งขันของอาเซียน ในเวทีเศรษฐกิจโลก เพิ่มสวัสดิการ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศสมาชิก

3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community หรือ ASCC)

มีเป้าหมายให้อาเซียน เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง สังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี และมีการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์ของอาเซียน โดยมีแผนปฏิบัติการด้านสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ระบุอยู่ในแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์
Read more →

สัญลักษณ์ของอาเซียน

เรียบเรียง : นัชรี อุ่มบางตลาด

สัญลักษณ์ของอาเซียน

ดวงตราอาเซียน 

ลักษณะของดวงตราอาเซียน คือ รวงข้าวสีเหลือง 10 มัด บนพื้นสีแดง ล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาวและสีน้ำเงิน มีตัวอักษรคำว่า "asean" สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพ โดยมีความหมายดังนี้
  • รวงข้าว 10 มัด หมายถึง การที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
  • พื้นที่วงกลม แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน
  • ตัวอักษรคำว่า "asean" สีน้ำเงินอยู่ใต้ภาพ แสดงถึง ความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
  • สีที่ปรากฎในสัญลักษณ์ของอาเซียน เป็นสีสำคัญ ซึ่งปรากฎอยู่ในธงชาติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน โดยแต่ละสีมีความหมายดังนี้
    - สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพ และความมั่นคง
    - สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
    - สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
    - สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง

ธงอาเซียน 

ธงอาเซียน แสดงถึงเสถียรภาพ สันติภาพ ความสามัคคีและพลวัตของอาเซียน มีลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า สัดส่วนของความกว้างต่อความยาวของธงคือ 2:3


สีของธง ได้แก่ น้ำเงิน แดง ขาว และเหลือง ซึ่งแสดงถึงสีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด
รายละเอียดของขนาดของธงมีดังนี้
ธงตั้งโต๊ะ: 10 ซม. x 15 ซม. 65
ธงประดับห้อง: 100 ซม. x 150 ซม.
ธงประจำรถ: 10 ซม. x 30 ซม.
ธงภาคสนาม: 200 ซม. x ซม.

คำขวัญอาเซียน

คำขวัญของอาเซียนคือ “One Vision, One Identity, One Community”
มีความหมายว่า "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม"

วันอาเซียน

วันที่ 8 สิงหาคม 2510 เป็นวันก่อตั้งอาเซียนอย่างเป็นทางการ จึงให้วันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันอาเซียน

เพลงประจำอาเซียน

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มอบหมายให้ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการจัดการประกวดเพลงประจำอาเซียน โดยให้สำนักเลขานุการอาเซียนในแต่ละประเทศ กลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้นของเพลงที่จะส่งประกวด และจัดส่งให้ประเทศไทย

กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดเพลงประจำอาเซียนระดับภูมิภาค และดำเนินการประกวดรอบตัดสิน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 โดยคณะผู้ตัดสินประกอบด้วยกรรมการจากอาเซียน 10 คนและจากประเทศนอกอาเซียนอีก 3 คน ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน และประเทศออสเตรเลีย โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกเพลง "The ASEAN Way" (ดิอาเซียนเวย์) ของประเทศไทย เป็นเพลงประจำอาเซียน

ผู้ประพันธ์
กิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง)
สำเภา ไตรอุดม (ทำนอง)
พะยอม วลัยพัชรา (เนื้อร้อง)

เนื้อเพลงภาษาอังกฤษ (คำแปล)
Raise our flag high, sky high.  (ชูธงเราให้สูงสุดฟ้า)
Embrace the pride in our heart. (โอบเอาความภาคภูมิไว้ในใจเรา)
ASEAN we are bonded as one. (อาเซียนเราผูกพันเป็นหนึ่ง)
Look'in out to the world. (มองมุ่งไปยังโลกกว้าง)
For peace our goal from the very start (สันติภาพ คือเป้าหมายแรกเริ่ม)
And prosperity to last. (ความเจริญ คือปลายทางสุดท้าย)
We dare to dream, (เรากล้าฝัน)
We care to share. (และใส่ใจต่อการแบ่งปัน)
Together for ASEAN. (ร่วมกันเพื่ออาเซียน)
We dare to dream, (เรากล้าฝัน)
We care to share (และใส่ใจต่อการแบ่งปัน)
For it's the way of ASEAN.  (นี่คือวิถีอาเซียน)

เนื้อเพลงภาษาไทย
พลิ้วลู่ลม โบกสะบัด
ใต้หมู่ธงปลิวไสว
สัญญาณแห่งสัญญาทางใจ
วันที่เรามาพบกัน
อาเซียนเป็นหนึ่งดังที่เราปรารถนา
เราพร้อมเดินหน้าไปตรงนั้น
หล่อหลอมจิตใจ
ให้เป็นหนึ่งเดียว
อาเซียนยึดเหนี่ยวสัมพันธ์
ให้สังคมนี้
มีแต่แบ่งปัน
เศรษฐกิจมั่นคงก้าวไกล
Read more →

ความเป็นมาของอาเซียน

เรียบเรียง : นัชรี อุ่มบางตลาด

ความเป็นมาของอาเซียน

อาเซียน (ASEAN) หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations ) เป็นองค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมอาสา (Association of South East Asia) ขึ้นเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2504 เพื่อการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างประเทศขึ้น จึงได้มีการ แสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ณ วังสราญรมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น โดยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของ 5 ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้การลงนาม ในปฎิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Declaration of ASEAN Concord) หรือเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เพื่อจัดตั้งสมาคมความร่วมมือในระดับภูมิภาคของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้“ หรือ “อาเซียน” (ASEAN)

ปฎิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
(Declaration of ASEAN Concord)

สมาชิกผู้ก่อตั้งเริ่มแรก 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่งผู้แทนทั้ง 5 ประเทศ ที่ร่วมลงนามในปฏิญญากรุงเทพ ประกอบด้วย


นับตั้งแต่วันก่อตั้ง อาเซียนได้พยายามแสดงบทบาทในการธำรงรักษาและส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความเจริญร่วมกันในภูมิภาค ตลอดจนมีวิวัฒนาการ อย่างต่อเนื่องในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ตลอดจนพัฒนาการในเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม จนเป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศ และนำไปสู่การขยายสมาชิกภาพ โดยอาเซียนได้มีสมาชิกใหม่ จากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มเติมตามลำดับ ได้แก่


การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนของประเทศสมาชิกใหม่เหล่านี้ ทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ สอดคล้องกับปฎิญญาอาเชียนซึ่งระบุว่า อาเซียน พร้อมรับทุกประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมที่จะรับเป้าหมาย หลักการ และวัตถุประสงค์ขององค์กรเป็นสมาชิก

อาเซียน เป็นภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นการรวมตัวของกลุ่มประเทศ ที่มีพลังต่อรองในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความก้าวหน้าของอาเซียนมีปัจจัยจาก ความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างรัฐสมาชิก อันก่อให้เกิดบรรยากาศที่สร้างสรรค์ และเอื้อต่อความร่วมมือระหว่างกัน ทำให้สถานการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปลี่ยนผ่านจากสภาวะแห่งความตึงเครียด และการเผชิญหน้าในยุคสงครามเย็น มาสู่ความมีเสถียรภาพ ความมั่นคง และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน อาเซียน ประกอบด้วยประชากรประมาณ 567 ล้านคน มื้นที่โดยรวม 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายได้โดยรวมจากการค้าประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (สถิติในปี 2550)

Read more →

แนวทางการประดับธงอาเซียน

เรียบเรียง : นัชรี  อุ่มบางตลาด

แนวทางการประดับธงอาเซียน

ที่ประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียนได้รับรองแนวทางการใช้ธงอาเซียน (The Guidelines on the ASEAN Flag) เมื่อวันที่ 6 พฤศษภาคม 2554 เพื่อเป็นแนวทางการประดับธงอาเซียน รูปปแบบธงอาเซียน ขนาดธงอาเซียน  อาทิ ธงตั้งโต๊ะ ธงประดับห้อง ธงประจำรถ และธงภาคสนาม ซึ่งเป็นประโยชน์ในการใช้แสดงธงอาเซียนระหว่างการประชุมอาเซียนการเฉลิมฉลองวันอาเซียน งานพิธีการ และงานต่างที่จัดขึ้นในประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ อย่างถูกต้อง
การแสดงธงอาเซียนภายนอก / ในสถานที่ และภายในห้องรวมกับธงชาติประเทศสมาชิกตามลำดับตัวอักษรของแต่ละประเทศ เริ่มต้นจากธงชาติบรูไนดารุสซาลามตั้งอยู่ทางซ้ายสุด โดยธงอาเซียนจะอยู่ทางขวาสุดต่อจากธงชาติเวียดนามเสมอ ตามแผนผังดังนี้


1.  Brunei Darussalam (บรูไนดารุสซาลาม)
2.  KIingdom of Cambodia (ราชอาณาจักรกัมพูชา)
3.  Republic Indonesia (สาธารณรัฐอินโดนีเซีย)
4.  The Lao People’s Democratic Republic (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
5.  Malaysia (มาเลเซีย)
6.  Republic of the Union of Myanmar (สาธารณรัฐแห!งสหภาพเมียนมาร-)
7.  Republic of the Philippines (สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ )
8.  Republic of Singapore (สาธารณรัฐสิงคโปร์)
9.  Kingdom of Thailand (ราชอาณาจักรไทย)
10. Socialist Republic of Vietnam (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)


อ้างอิง :
กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ, แนวทางการใช้ธงอาเซียน (กรุงเทพฯ : กรมอาเซียน, 2555), หน้า 15

Read more →

2557/07/23

มรดกโลกในไทย 5 : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง

ประเภท : มรดกโลกทางธรรมชาติ
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ.2534
ชื่อเป็นทางการ : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง (Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries) 
ที่ตั้ง : จังหวัด กาญจนบุรี ตาก และอุทัยธานี ประเทศไทย 
เรียบเรียง : นัชรี  อุ่มบางตลาด / กรรณิการ์  ยศตื้อ

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง (Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries)

ความเป็นมา

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง (Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries) เป็นผืนป่าอันยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดของประเทศและของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่รวม 4,017,087 ไร่ หรือกว่า 6,000 ตารางกิโลเมตร

 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่เป็นแกนกลางของกลุ่มป่าตะวันตกซึ่งเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารของแม่น้ำสายหลักของประเทศหลายสาย เช่น แม่กลอง สาละวิน สะแกกรัง ท่าจีน และบางส่วนของเจ้าพระยา และเป็นผืนป่าธรรมชาติที่รวบรวมไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ มีความงดงามตามธรรมชาติและมีความสมบูรณ์ของระบบชีววิทยา


ด้วยคุณลักษณะที่โดดเด่น รัฐบาลไทยจึงได้จัดทำรายงานรวบรวมความสำคัญของป่าผืนนี้ เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้พิจารณาประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เพื่อเชิดชูและร่วมกันดูแลรักษาให้เกิดความยั่งยืน ในคราวประชุมเพื่อคัดเลือกแหล่งมรดกโลก เมื่อ วันที่ 9 - 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ณ ประเทศตูนีเซีย และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการดังกล่าว นับเป็นสถานที่ธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก  ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ รวม 3 ประการ คือ

(1) มีความโดดเด่นเป็นเลิศในด้านวิวัฒนาการทางชีวภาพ ชีวาลัย เป็นพิเศษของโลก เพราะประกอบด้วยระบบนิเวศ ทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภูมิภาคซุนเดอิก (Sundaic) ภูมิภาคอินโด - เบอร์มิส (Indo - Burmese) ภูมิภาคอินโด - ไชนิส (Indo - Chinese) และภูมิภาคไซโน - หิมาลายัน (Sino - Himalayan)

(2) เป็นแหล่งธรรมชาติพิเศษ ที่เป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสายของประเทศ มีป่าไม้นานาชนิด ประกอบด้วย เทือกเขา เนินเขา ตลอดจนทุ่งหญ้า ลักษณะทั้งหมดจึงมีคุณค่าในด้านวิทยาศาสตร์ มีความงดงาม ทางธรรมชาติที่หาได้ยากแห่งหนึ่งของโลก

(3) เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่หายาก หรืออยู่ในภาวะที่อันตรายแต่ยังสามารถดำรงพันธุ์อยู่ได้ ซึ่งรวมถึงเป็นระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ

ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ


อาณาเขตของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ทอดยาวอยู่บนแนวเทือกเขาถนนธงชัยเชื่อมต่อกับตอนเหนือของเทือกเขาตะนาวศรี  ครอบคลุมในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดตาก ประกอบด้วยผืนป่าอนุรักษ์ 3 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าด้านตะวันออก และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง 

ภาพจาก : ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม  http://www.thaiwhic.go.th/heritage_nature.asp

1. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก และด้านตะวันออก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  อยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี  อำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี  และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ตั้งอยู่ตอนล่างของเทือกเขาถนนธงชัย ประกอบด้วยทิวเขาใหญ่น้อยหลายทิวเขาด้วยกัน วางพาดจากเหนือสู่ใต้ และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารที่สำคัญเช่น แม่น้ำแควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่ พื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มีความสูงโดยเฉลี่ยมีความสูงอยู่ที่ ประมาณ 800 - 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีเขาใหญ่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดมีความสูง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ได้รับการประกาศเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอย่างเป็นทางการ  เมื่อวันที่  24  เมษายน  2517  มีเนื้อที่ทั้งสิ้น  2,000,000  ไร่  หรือ  3,200  ตารางกิโลเมตร  โดยให้ชื่อว่า  “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร” เนื่องจากมติของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าให้เพิ่มคำว่านเรศวรเข้าไป  เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในปี  พ.ศ.  2534  ได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมทางตอนใต้ของแนวเขตเดิม อยู่ในพื้นที่ของตำบลชะแล  อำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี  ทำให้เนื้อที่รวมของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเพื่มเป็น 2,279,500  ไร่  นับเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเนื่องจากมีขนาดกว้างใหญ่มาก เพื่อให้สามารถดูแลพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง จึงถูกแบ่งพื้นที่ในการบริหารจัดการภายในกรมป่าไม้ทั้งด้านอัตรากำลังเจ้าหน้าที่และงบประมาณแยกออกจากกันอย่างชัดเจนออกเป็น  2  พื้นที่ คือ

ภาพจาก http://loft.co.th/sajapong/journey/ทุ่งใหญ่นเรศวร/
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก  อยู่ในพื้นที่ตำบลชะแล  อำเภอทองผาภูมิ  กับตำบลโล่โว่  อำเภอสังขละบุรี  จังหวัดกาญจนบุรี  เนื้อที่  1,326,852.88 ไร่

- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก  พื้นที่บางส่วนอยู่ในพื้นที่  ตำบลแม่จัน  และตำบลแม่ละมุ้ง  อำเภออุ้มผาง  พื้นที่ประมาณ 948,438ไร่ 

2. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
พื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ครอบคลุมพื้นที่ ตำบลระบำ ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต ตำบลคอกควาย ตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และบางส่วนของจังหวัดตาก ในท้องที่ตำบลแม่ละมุ้ง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีแนวเขตติดกับแนวเขตจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี รวมมีพื้นที่ทั้งหมด 1,737,587 ไร่ (2,780.14 ตารางกิโลเมตร)
ภาพจาก : http://www.22nor4x4.com/forum/index.php?topic=2008.0

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งครอบคลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย มีลักษณะเป็นเทือกเขาที่สลับซับซ้อนค่อนข้างยาวจากเหนือถึงใต้ ประกอบด้วยสันเขาน้อยใหญ่หลายสันเขาด้วยกันโดยเฉพาะทางตอนเหนือของพื้นที่ของจังหวัดตาก สภาพภูมิประเทศลาดเทไปทางตอนใต้ และมีที่ราบ ไม่กว้างขวางมากนักริมสองฝั่งลำห้วยขาแข้ง ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ “ยอดเขาปลายห้วยขาแข้ง”  สูง 1,678 เมตร อยู่ตอนบนสุดของพื้นที่ และมียอดเขาที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น ยอดเขาใหญ่  ยอดเขาน้ำเย็น ยอดเขาเขียว ยอดเขาปลายห้วยน้ำเย็น ยอดเขาปลายห้วยไทรใหญ่ เป็นต้น ยอดเขาเหล่านี้อยู่บนทิวเขาสองเทือกเขาที่ขนานกันไปจากเหนือลงใต้ โดยมีลำห้วยขาแข้งเป็นแนวแบ่งตรงกลางพื้นที่ มีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร ไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง นอกจากลำห้วยหลักดังกล่าวแล้วยังมีห้วยแยกขนาดเล็กๆ อีกมากมาย แยกขึ้นรับน้ำจากทุกส่วนของพื้นที่หลายสายทำให้ลำห้วยขาแข้งมีน้ำไหลตลอดปี

ภาพจาก : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร http://www.seub.or.th

ความสำคัญ

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง นับเป็นผืนป่าอนุรักษ์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอาณาเขตอันกว้างใหญ่หลายล้านไร่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นตัวแทนแสดงลักษณะทางชีววิทยาที่สำคัญของผืนป่าในแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทางชีวภูมิศาสตร์ ถึง 4 เขต คือ ไซโน-หิมาลายัน (Sino-Himalayan) อินโด-เบอร์มิส (Indo-burmese) อินโด-ไชนิส (Indo-chinese) และซุนเดอิก (Sundaic) รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นตัวแทนระบบนิเวศป่าเขตร้อนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความอุดมสมบูรณ์และปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

สัตว์ป่าในเเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง
 ภาพจาก : http://atsuwong.blogspot.com/2011/04/blog-post_23.html

สัตว์ป่าในเเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง
ภาพจาก : ttp://whc.unesco.org/en/list/591

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2534 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง เป็นสถานที่ธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทยและของภูมิภาคเอเชียออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเป็นมรดกโลก โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ 3 ข้อที่ ดังนี้ 
(viii) เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด  ในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทางธรณีวิทยา หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยาและปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได
(ix) เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีเอกลักษณ์หายากหรือสวยงามเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา
(x) เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายาก หรือที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจด้วย


อ้างอิง : 
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง. สำนักงานมรดกโลกทางธรรมชาติ ทุ่งใหญ่นเรศวร – ห้วยขาแข้ง. “มรดกโลกทางธรรมชาติ”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.huaikhakhaeng.net/wheritage/index.html  (10 กรกฎาคม 2557).

มูลนิธิสืบนาคะ เสถียร. “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก” [ระบบออนไลน์].
แหล่งที่มา http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&
id=125:westforest&catid=34:17-&Itemid=41 (10 กรกฎาคม 2557).

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. มูลนิธิวิกิมีเดีย. “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร” [ระบบออนไลน์].
แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  (10 กรกฎาคม 2557)

ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.thaiwhic.go.th/heritage_nature.aspx  (10 กรกฎาคม 2557).
Read more →

2557/07/22

มรดกโลกในไทย 4 : ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่

ประเภท : มรดกโลกทางธรรมชาติ
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ. 2548
ชื่อเป็นทางการ : ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex)
ที่ตั้ง : จังหวัด สระบุรี นครนายก นครราชสีมา ปราจีณบุรี สระแแก้ว และ บุรีรัมย์ ประเทศไทย 
เรียบเรียง : นัชรี  อุ่มบางตลาด / กรรณิการ์  ยศตือ

ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex)

ความเป็นมา

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย โดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้ประกาศจัดตั้งผืนป่าเขาใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียง ในบริเวณดงพญาเย็นของเทือกเขาพนมดงรัก ให้เป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในปีพุทธศักราช 2505 และรัฐบาลชุดต่อๆ มา ก็ได้ประกาศให้ป่าทับลาน ป่าปางสีดา และป่าตาพระยาเป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา และอุทยานแห่งชาติตาพระยา ในปีพุทธศักราช 2524 พุทธศักราช 2525 และพุทธศักราช 2539 ตามลำดับ รวมทั้งประกาศให้ป่าดงใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับป่าทับลาน ป่าปางสีดา และป่าตาพระยาให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ในปีพุทธศักราช 2539

ภาพจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

จากการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติทั้ง 1 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1 แห่ง บริเวณดงพญา-เย็นของเทือกเขาพนมดงรัก ทำให้พื้นที่ป่าบริเวณนี้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นระบบนิเวศตามธรรมชาติขนาดใหญ่ จนได้รับการขนานนามว่า “ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex)” ซึ่งเชื่อว่าสามารถเอื้อต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์นานับประการต่อประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับโลก หากมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและถูกหลักการ

ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ

ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นผืนป่าอนุรักษ์เชิงระบบนิเวศ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า มีความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ มีเนื้อที่ประมาณ 3,845,000 ไร่ หรือ 6,152 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสระบุรี นครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระแก้ว และบุรีรัมย์ โดยเฉพาะด้านตะวันออกมีอาณาเขตติดต่อกับผืนป่าบันทายฉมอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองภูมิทัศน์ (Protected Landscape) ของราชอาณาจักรกัมพูชา ประกอบด้วยพื้นที่คุ้มครอง หรือพื้นที่อนุรักษ์สภาพธรรมชาติ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1 แห่ง ดังนี้

ภาพจาก ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก กระทรวงวัฒนธรรม : http://www.thaiwhic.go.th/heritage_nature2.aspx

1. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่ด้านตะวันตกของเทือกเขาพนมดงรัก อยู่ในพื้นที่ จ.นครนายก จ.สระบุรี จ.นครราชสีมา และ จ.ปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ซึ่งสูงโดดเด่นขึ้นมาจากที่ราบภาคกลางแล้วก่อตัวเป็นแนวเขตของที่ราบสูงโคราช  มียอดเขาจำนวนหลายแห่ง มีเขาร่มเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด 1,351 เมตร ประกอบด้วยทุ่งกว้างสลับกับป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ด้านทิศเหนือและตะวันออกพื้นที่จะลาดลง ทางทิศใต้และตะวันตกเป็นที่สูงชันไปเรื่อยๆ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญถึง 5 สาย ได้แก่
- พื้นที่ทางทิศใต้ของอุทยาน มีแม่น้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำนครนายก แม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ไหลมาบรรจบกันที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นแม่น้ำบางปะกงแล้วไหลลงสู่อ่าวไทย นับว่ามีความสำคัญต่อการเกษตรกรรมและระบบทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้
- พื้นที่ทางทิศเหนือมีแม่น้ำ แม่น้ำลำตะคองและแม่น้ำพระเพลิง ไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมของที่ราบสูงโคราช ไปบรรจบกับแม่น้ำมูลซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภาคอีสานตอนล่างไหลลงสู่แม่น้ำโขง
- ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีห้วยมวกเหล็ก ซึ่งมีปริมาณน้ำไหลตลอดทั้งปีไหลลงสู่แม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอมวกเหล็กให้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะการปศุสัตว์ของภูมิภาคนี้ 

น้ำตกเหวสุวัต ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ภาพจาก : http://worldheritage.routes.travel/world-heritage-site/khao-yai-forest-complex/

สภาพป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แบ่งออกๆได้เป็น ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้า และป่ารุ่นหรือป่าเหล่า เป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก สัตว์ป่าที่สามารถพบได้บ่อยๆ ได้แก่ เก้ง กวาง ตามทุ่งหญ้าทั่วๆ ไป นอกจากนี้ยังพบ เสือโคร่ง กระทิง เลียงผา หมี เม่น ชะนี พญากระรอก หมาไม้ ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า นกชนิดต่างๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 340 ชนิด ที่สำรวจพบอาศัยอยู่บริเวณป่าเขาใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งหาอาหารและที่อาศัยอย่างถาวร นกที่น่าสนใจและพบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกเงือก นกขุนทอง นกขุนแผน นกพญาไฟ นกแต้วแล้ว นกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่างๆ นกเงือกทั้ง 4 ชนิด ซึ่งได้แก่ นกกก นกเงือกกรามช้าง นกแก๊ก และนกเงือกสีน้ำตาล พวกแมลงที่มีมากกว่า 5,000 ชนิด ที่สวยงามและพบเห็นบ่อยได้แก่ ผีเสื้อ มีรายงานพบกว่า 216 ชนิด

2. อุทยานแห่งชาติทับลาน  
อุทยานแห่งชาติทับลาน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ คือ มีเนื้อที่ประมาณ 1,397,375ไร่ หรือ 2,235.80 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

ภาพจาก : http://travel.giggog.com/133034

สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปประกอบด้วยภูเขาใหญ่น้อยสลับซับซ้อนต่อเนื่องกันเป็นบริเวณกว้างขวาง ยอดเขาที่สูงสุด มีระดับความสูงประมาณ 992 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเทือกเขายาวต่อเนื่องกันทำให้มีหุบเขาตามธรรมชาติ เหว และน้ำตก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำห้วย ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำมูล และแม่น้ำบางปะกง จัดเป็นป่าลุ่มต่ำที่มีความสมบูรณ์มาก สามารถจำแนกได้ 4 ประเภท คือ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง จัดเป็นสังคมพืชที่มีการซ้อนทับกันของลักษณะทางนิเวศของป่าภาคกลางและป่าภาตะวันออกเฉียงเหนือ มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ไม้และสัตว์ป่าชุกชุม เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ลำธารต่างๆ และมีธรรมชาติที่สวยงาม เช่น หุบผา หน้าผา น้ำตก 

เขาละมั่ง ในอุทยานแห่งชาติทับลาน
ภาพโดย : wuttiwong  จาก : http://www.panoramio.com/photo/92912914

นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทับลานยังมีป่าอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าผลัดใบที่มีเฉพาะในบางพื้นที่ เรียกว่า “ป่าลาน” มีต้นลานขึ้นตามธรรมชาติอย่างหนาแน่นทั่วพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ บริเวณที่ราบบนเขาละมั่ง ด้านตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ไม้ลานเป็นพืชในตระกูลปาล์ม (Palmae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Corypha lecomtei Becc. 

ต้นลานในอุทยานแห่งชาติทับลาน 
ภาพจาก : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/travel/20090918/76495/
หอมกลิ่นดอกลานที่ทับลาน.html

3. อุทยานแห่งชาติปางสีดา  
อุทยานแห่งชาติปางสีดา พื้นที่ประมาณ 527,500 ไร่ หรือ 844 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมท้องที่อำเภอตาพระยา อำเภอวัฒนานคร อำเภอเมืองจังหวัดสระแก้ว และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนทอดยาวมาจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลานไปยังอุทยานแห่งชาติตาพระยา จรดประเทศกัมพูชา โดยมีความลาดชันจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50 - 878 เมตร มียอดเขาใหญ่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า มีสภาพธรรมชาติและเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยลำธารหลายสาย และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของแม่น้ำบางปะกง

ภาพจาก :  http://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานแห่งชาติปางสีดา

น้ำตกปางสีดา 
ภาพจาก http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131214110858875

4. อุทยานแห่งชาติตาพระยา  
อุทยานแห่งชาติตาพระยาเป็นเทือกเขาสูงจากเทือกเขาบรรทัดตลอดแนวจนไปถึงเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบสูงโคราช ซึ่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 100-200 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 371,250 ไร่ หรือ 594 ตารางกิโลเมตร โดยครอบคลุมเนื้อที่ 2 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว และบุรีรัมย์ อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 380 กิโลเมตร เป็นแนวเขตติดต่อระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา ยอดเขาที่สูงที่สุดมีความสูง 579 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีความลาดชันเฉลี่ยทั้งพื้นที่ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ ในภูมิภาคแถบนี้ยังมีสภาพป่าที่สมบูรณ์กระจายอยู่ในพื้นที่โดยทั่วไปเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง 
ภาพจาก : http://www.traveleastthailand.org/travel-detail.php?id=359&title=อุทยานแห่งชาติตาพระยา

ภาพจาก : http://www.h2th.com/articles/381634/อุทยานแห่งชาติตาพระยา.html

5. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่   
พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงใหญ่ ท้องที่ตำบลนางรอง ตำบลโนนดินแดง กิ่งอำเภอโนนดินแดง ตำบลโคกมะม่วง ตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ มีเนื้อที่ 212,500 ไร่ หรือประมาณ 340 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะ เป็นพื้นที่ราบสูง มีภูเขาขึ้นโดดเดี่ยวไม่ติดต่อกันเป็นเทีอกเขา ยอดเขาสูงประมาณ 685 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพป่าเป็นป่าดิบแล้งผลมป่าเต็งรัง มีทุ่งหญ้าบางส่วน บริเวณกลางพื้นที่เป็นแหล่งน้ำซับ ป่าดงใหญ่เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด แห่งสุดท้ายของจังหวัดบุรีรัมย์ และยังเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์ คือลำนางรองและลำปลายมาศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดิบแล้งมีป่าเต็งรังและ ทุ่งหญ้าเล็กน้อย มีไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจอยู่จำนวนมาก เช่น มะค่าโมง ประดู่ ตะเคียนหิน พยุง ฯลฯ 

ภาพจาก : http://pantip.com/topic/32230724

ภาพจาก : http://www.ictbr4.org/dl_ict/resource-wis/dongyai.html

 ความสำคัญ

แหล่งมรดกโลกเขาใหญ่ ดงพญาเย็นนั้น เป็นผืนป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีบทบาทสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งสงวนระบบนิเวศตามธรรมชาติอันหลากหลาย มีสภาพป่าแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ป่าดงดิบ ป่าดิบชื้น ป่าดงดิบเขา ป่าดงดิบแล้ง ไปจนถึงป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้าเขตร้อนกระจายตัวอยู่ทั่วไป รวมทั้งป่าบนเขาหินปูนและป่าริมห้วยลำธาร

ทุ่งหญ้าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ภาพจาก : http://learnthaiwithmod.com/2013/08/be-wild-khao-yai-national-park

จากระบบนิเวศทางธรรมชาติที่หลากหลาย ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ จึงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่า พันธุ์พืชที่พบในประเทศไทยทั้งหมดราว 15,000 ชนิดนั้น พบในพื้นที่ดงพญาเย็น-เขาใหญ่จำนวนไม่น้อยกว่า 2,500 ชนิด หรือประมาณ 1 ใน 6 ของชนิดพันธุ์ที่ปรากฏในประเทศ โดยมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่น 16 ชนิด และมีสัตว์ป่ามากถึง 805 ชนิด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม 112 ชนิด นก 392 ชนิด โดยเป็นนกเงือก 4 ชนิดใน 6 ชนิดที่พบในประเทศไทย และมีสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก รวมกัน 205 ชนิด โดยมี 9 ชนิด ที่เป็นชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่น และในจำนวนสัตว์ป่าที่พบทั้งหมดมีหลายชนิดที่มีความสำคัญในระดับโลก และมี 5 ชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ได้แก่ ช้างป่า เสือโคร่ง และวัวแดง นอกจากนี้ยังพบว่ามีสัตว์ป่าที่มีสถานภาพมีแนวโน้มสูญพันธุ์ไปจากโลก (vulnerable) อาศัยอยู่ในผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ได้แก่ ลิงกังหรือลิงก้นแดง ชะนีมงกุฎ เม่นใหญ่ หมาไน หมีควาย  เสือลายเมฆ  กระทิง  เลียงผา  นกลุมพูแดง ไก่ฟ้าพญาลอ นกยูง และนกฟินฟุต

นกเงือกในผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
ภาพจาก : http://thegoldenscopeit.com/2014/07/15/i-siti-unesco-della-thailandia/

ช้างในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ภาพจาก : ttp://wayneimage.com/2012/12/22/thailand-khao-yai-national-park/

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  อุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา อุทยานแห่งชาติตาพระยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันภายใต้ชื่อ  “ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex)”  จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 29 เมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่เมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ โดยมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์มรดกโลกด้านธรรมชาติ จำนวน 1 ข้อ คือ
 (x) เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายากหรือที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจด้วย

ยูเนสโกได้เสนอข้อเสนอแนะตามมาอีก 7 ข้อ หลังจากได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่
ข้อที่ควรจะปรับปรุง
1. ให้มีการจัดระบบการจัดผืนป่าทั้งหมดแบบบูรณาการ ไม่ใช่แยกจัดแบบต่างคนต่างดูแลเหมือนเช่นที่ผ่านมา
2. รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณ และทรัพยากรบุคคล เพื่อการบริหารจัดการพื้นป่าอย่างเต็มที่
3. ดูแลนโยบายและการปฏิบัติให้สอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน
4. ต้องให้การส่งเสริมการสำรวจ และวิจัยสถานภาพของป่า และสัตว์ป่าอย่างจริงจัง
5. จะต้องหาหนทางเชื่อมผืนป่าต่างๆเข้าด้วยกัน โดยการเชื่อมต่อกับป่าอนุรักษ์ในกัมพูชา
6. ต้องหาทางแก้ปัญหาถนนที่ตัดแยกผืนป่าออกจากกัน โดยจะต้องศึกษา และหามาตรการให้ผืนป่าเชื่อมต่อกันภายในปี พุทธศักราช ๒๕๕๐
7. ดำเนินกิจกรรมที่เสริมสร้างความร่วมมือจากชาวบ้าน และชุมชนในการอนุรักษ์ผืนป่า เพื่อเป็นหลักประกันในสถานภาพมรดกโลก


อ้างอิง :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  ไผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่  มรดกโลกทางธรรมชาติ” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.dnp.go.th/parkreserve/world_np_00.asp?lg=1  (9 กรกฎาคม 2557)

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มา http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=9&lg=1(9 กรกฎาคม 2557) 

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “อุทยานแห่งชาติทับลาน” [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มา http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=97&lg=1 (9 กรกฎาคม 2557) 

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “อุทยานแห่งชาติปางสีดา” [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มาhttp://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=101&lg=1 (9 กรกฎาคม 2557) 

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “อุทยานแห่งชาติตาพระยา”[ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มาhttp://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=24&lg=1 (9 กรกฎาคม 2557) 

ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.thaiwhic.go.th/heritage_nature2.aspx (9 กรกฎาคม 2557)
Read more →

2557/07/21

มรดกโลกในไทย 3 : เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร

ประเภท : มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ.2534
ชื่อเป็นทางการ : เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) 
ที่ตั้ง : จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดกำแพงเพชร ประเทศไทย
เรียบเรียง :  กรรณิการ์ ยศตื้อ / นัชรี  อุ่มบางตลาด

เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) 

ความเป็นมาและความสำคัญ

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 
ภาพจาก : http://www.sony.net/united/clock/share/sukhothai/fp_04.html 

เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) ประกอบไปด้วยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร  ทั้ง 3 เมืองที่เคยมีความรุ่งเรืองในอดีตช่วงใกล้เคียงกัน โดยอาณาจักรสุโขทัยนั้นถือเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เป็นศูนย์กลางความเจริญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
เมืองสุโขทัยเคยเป็นราชธานีของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ มีสถานที่สำคัญที่เป็นพระราชวัง ศาสนสถาน โบราณสถาน โดยมีคูเมือง กำแพงเมือง และประตูเมืองโบราณล้อมรอบอยู่ในรูปสี่เหลี่ยม มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตรครอบคลุมพื้นที่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวังและวัด และมีโบราณสถานสำคัญที่จำนวนมากกว่า 30 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 
ภาพจาก : http://www.remotelands.com/blog/index.php/the-ancient-echoes-of-sukhothai/

กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองเก่าสุโขทัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ต่อมา ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากรด้วยความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก และเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 โดยในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรและศรีสัชนาลัย ปัจจุบันอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของไทย มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี ซึ่งสามารถเดินเท้าหรือขี่จักรยานเที่ยวชมได้

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยตั้งอยู่ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีระยะห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร อยู่บริเวณที่เรียกว่า “แก่งหลวง” ซึ่งห่างจากตัวอำเภอศรีสัชนาลัยลงมาทางอำเภอสวรรคโลก 11 กิโลเมตร หรือห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 550 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 45.14 ตารางกิโลเมตร ในเขตของตำบลศรีสัชนาลัย ตำบลสารจิตร ตำบลหนองอ้อ ตำบลท่าชัย ส่วนตัวเมืองโบราณศรีสัชนาลัยอยู่ในเขตหมู่บ้านพระปรางค์ ตำบลศรีสัชนาลัย เดิมชื่อว่า “เมืองเชลียง” แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีสัชนาลัย” ในสมัยกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงขึ้นครองกรุงสุโขทัย และได้สร้างเมืองขึ้นใหม่เป็นศูนย์กลางการปกครองแทนเมืองเชลียง ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุทั้งหมด 215 แห่ง สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่ง และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

วัดช้างล้อม ในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
ภาพจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/อำเภอศรีสัชนาลัย

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร มีเนื้อที่ประมาณ 3.5 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง มีระยะห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตร ลักษณะผังเมืองเป็นรูปคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมูวางแนวยาวขนานกับลำน้ำปิง มีกำแพงเมืองและคูเมืองล้อมรอบ ลักษณะของศิลปะและสถาปัตยกรรมในอุทยานแห่งนี้เป็นศิลปะแบบเดียวกับที่ปรากฏในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีโบราณสถานที่สวยงามและขนาดใหญ่มากมายหลายแห่ง ในอดีตเมืองกำแพงเพชรถือเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรสุโขทัย กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมืองกำแพงเพชร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
ภาพจาก : http://www.dasta.or.th/th/article/1657-1657.html 

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ในปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ มีลักษณะการใช้พื้นที่ทั้งส่วนที่เป็นโบราณสถานที่ได้รับการดูแลโดยกรมศิลปากร 

ที่ตั้ง

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออก 12 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นระยะทางประมาณ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีระยะห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร มีระยะห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตร

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ "เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร" (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns) จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 เมื่อปี พ.ศ. 2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย โดยมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์มรดกโลกด้านวัฒนธรรม จำนวน 2 ข้อ ดังนี้
(i)  เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
(iii) เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรม หรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว


อ้างอิง
กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร. สำนักงานจังหวัดสุโขทัย. “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา  http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm (20 มิถุนายน 2557)

สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ. กระทรวงวัฒนธรรม. “มรดกโลกของเมืองไทย”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มาhttp://www.m-culture.go.th/international/index.php/องค์ความรู้/2013-08-02-13-50-38/item/มรดกโลกของเมืองไทย/ (20 มิถุนายน 2557)

ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
http://www.thaiwhic.go.th/heritage_culture.aspx (9 กรกฎาคม 2557)
Read more →

2557/07/20

มรดกโลกในอาเซียน


เรียบเรียง : นัชรี  อุ่มบางตลาดม สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

มรดกโลกในอาเซียน

จนกระทั่งถึงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2558 ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซี่งได้มีการประกาศมรดกโลกแห่งใหม่เพิ่มเติมนี้น ในจำนวนประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศนั้น มีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ  อยู่จำนวน 37 แห่ง ใน 9 ประเทศ คือ กัมพูชา อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงค์โปร์ ไทย เวียดนาม ดังนี้



กัมพูชา

มีมรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 2  แห่ง คือ
1. แองกอร์ หรือ เมืองพระนคร  (Angkor)
2. ปราสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear)

อินโดนีเซีย  

มีมรดกโลกจำนวน 8 แห่ง
มรดกโลกทางวัฒนธรม 4 แห่ง
3. บูโรบูดูร์ (Borobudur) หรือ กลุ่มวัดบุโรพุทโธ (Borobudur Temple Compounds)
4. ปรัมบานัน (Prambanan )หรือ กลุ่มวัดพรัมบานัน (Prambanan Temple Compounds)
5. แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน (Sangiran Early Man Site)
6. ภูมิทัศน์วัฒนธรรมเขตบาหลี : ระบบสุบักหลักการตามปรัชญาไตรหิตครณะ (Cultural Landscape of Bali Province: the Subak System as a Manifestation of the Tri Hita  Karana Philosophy)
มรดกโลกทางธรรมชาติ 4 แห่ง
7. อุทยานแห่งชาติอูจุงกูลอน (Ujung Kulon National Park)
8. อุทยานแห่งชาติโคโมโด (Komodo National Park)
9. อุทยานแห่งชาติลอเรนซ์ (Lorentz National Park)
10. มรดกป่าฝนเขตร้อนของเกาะสุมาตรา (Tropical Rainforest Heritage of Sumatra)

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  

มีมรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 2 แห่ง
11. เมืองหลวงพระบาง (Town of Luang Prabang)
12. ปราสาทหินวัดพูและสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงในแขวงจำปาสัก (Vat Phou and Associated Ancient Settlements within the Champasak Cultural Landscape )

มาเลเซีย  

มีมรดกโลก จำนวน 4 แห่ง คือ
มรดกโลกทางวัฒนธรรม 2 แห่ง
13. มะละกา และจอร์จทาวน์ นครประวัติศาสตร์บนช่องแคบมะละกา (Melaka and George Town, Historic Cities of the Straits of Malacca)
14. แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง (Archaeological Heritage of the Lenggong Valley)
มรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง
15. อุทยานคินาบาลู (Kinabalu Park)
16. อุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู (Gunung Mulu National Park)

เมียนมาร์ 

มีมรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 1 แห่ง คือ
17. กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities)

ฟิลิปปินส์  

มีมรดกโลก จำนวน 6 แห่ง คือ
มรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 3 แห่ง
18. นครประวัติศาสตร์วีกัน (Historic Town of Vigan)
19. โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ (Baroque Churches of the Philippines)
20. นาขั้นบันไดแห่งเทือกเขาฟิลิปปินส์ (Rice Terraces of the Philippine Cordilleras)
มรดกโลกทางธรรมชาติ จำนวน 3 แห่ง
21. อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โต-ปรินเซซา (Puerto-Princesa Subterranean River National Park)
22. อุทยานปะการังทางทะเลทุบบาตาฮะ (Tubbataha Reefs Natural Park)
23. เขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าภูเขาฮามิกีตัน (Mount Hamiguitan Range Wildlife Sanctuary)

ไทย  

มีมรดโลก จำนวน 5 แห่ง คือ
มรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 3 แห่ง
24. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง (Ban Chiang Archaeological Site)
25. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (Historic City of Ayutthaya)
26. เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns)
มรดกโลกทางธรรมชาติ  จำนวน 2 แห่ง
27. ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex)
28. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง (Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries)

เวียดนาม 

มีมรดกโลก จำนวน 8 แห่ง คือ
มรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 5 แห่ง
29. หมู่โบราณสถานเมืองเว้ (Complex of Hue Monuments)
30. เมืองโบราณฮอยอัน (Hoi An Ancient Town)
31. สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หมีเซิน (My Son Sanctuary)
32. พระราชวังจักรพรรดิแห่งทังลอง-ฮานอย (Central Sector of the Imperial Citadel of Thang Long-Hanoi)
33. พระราชวังแห่งราชวงศ์โฮ (Citadel of the Ho Dynasty)
มรดกโลกทางธรรมชาติ  จำนวน 3 แห่ง
34. อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)
35. อุทยานแห่งชาติฟง งา-เค บัง (Phong Nha-Ke Bang National Park)
มรดกโลกแบบผสม (วัฒนธรรมและธรรมชาติ)
36. แหล่งภูมิทัศน์จ่างอาน (Trang An Landscape Complex)

สิงคโปร์

มรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน 1 แห่ง คือ
37. สวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติสิงคโปร์  Singapore Botanic Gardens


อ้างอิง :
ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “แหล่งมรดกโลก” [ระบบออนไลน์].
แหล่งที่มา http://www.thaiwhic.go.th/heritage.aspx (13 ธันวาคม 2556)

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. มูลนิธิวิกิมีเดีย. “รายชื่อแหล่งมรดกโลกในทวีปเอเชีย” [ระบบออนไลน์].
แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อแหล่งมรดกโลกในทวีปเอเชีย (8 เมษายน 2557)

UNESCO World Heritage Centre. “World Heritage List” [online].
Available http://whc.unesco.org/en/list/ (25 March 2014)

Read more →

มรดกโลกในไทย 2 : นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาฯ

ประเภท : มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ.2534
ชื่อเป็นทางการ : นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (Historic City of Ayutthaya) 
ที่ตั้ง : จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย
เรียบเรียง : กรรณิการ์  ยศตื้อ

นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (Historic City of Ayutthaya)

ความเป็นมา 

นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (Historic City of Ayutthaya) พระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานีเก่าแก่ของไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองยาวนานถึง 417 ปี แม้ว่าภายหลังจะถูกทำลายลงจากภัยสงคราม แต่ยังคงเหลือโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง และ ความมีอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษของชาวกรุงศรีอยุธยา อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ณ กรุงคาร์เทจ ประเทศตูซิเนีย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534

ภาพโดย : สมกิจ วัฒนะเจริญ
จาก http://www.panoramio.com/photo/60186438

ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ที่ เกาะเมือง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือ 76 กิโลเมตร


ตัวเกาะเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางของกรุงศรีอยุธยาในอดีต ถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำสำคัญ 3 สายคือ แม่น้ำลพบุรีด้านทิศเหนือ แม่น้ำป่าสักด้านทิศตะวันออก และแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมอันเป็นพื้นฐานของการตั้งถิ่นฐาน เป็นชุมทางคมนาคมที่เอื้อต่อการค้าทั้งภายในและภายนอก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าที่มีความสำคัญของภูมิภาคเอเชียและของโลก ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20 –23

กรมศิลปากร ได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยา ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 93 ตอนที่ 102 ลงวันที่ 17 สิงหาคม พุทธศักราช 2519 พื้นที่ 1,810 ไร่ และในปี พุทธศักราช 2540 กรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยาเพิ่มเติม ซึ่งครอบคลุมเกาะเมืองอยุธยาและพื้นที่รอบนอกเกาะเมืองทุกด้านที่ปรากฏหลักฐานด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี รวมพื้นที่โบราณสถานประมาณ 3,000 ไร่
ภาพจาก : http://www.stock-clip.com/video-footage/buddha+statue/10

ความสำคัญ

ปัจจุบันนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยากำลังมีการขยายตัวทางกายภาพอย่างมาก โดยมีการขยายเมือง เพื่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การสร้างอาคารที่บดบังทัศนียภาพที่สวยงาม เป็นการทำลายคุณค่าของโบราณสถาน ตลอดจนการพัฒนาของถนนหนทางภายในเขตเมือง เพื่อรองรับการคมนาคมที่นักท่องเที่ยวต่างมาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ ทำให้เขตพัฒนาเป็นไปอย่างไร้ทิศทางของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เช่น การสร้างเสาไฟรูปนางหงส์ ที่กระจายอยู่โดยทั่วของใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา ปัญหาของขยะมูลฝอย การสร้างบ้านพัก ที่อยู่อาศัย บ้านจัดสรร อยู่โดยรอบโบราณสถาน และการถมคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น

ดังนั้นหากอุทยานประวัติศาสตร์นครศรีอยุธยาไม่ได้รับการเอาในใส่ดูแลจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะท้องถิ่นที่ต้องมีความเข้าใจในการพัฒนาเมืองที่เป็นเมืองเก่า ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย และทำลายคุณค่าของความเป็นเมืองเก่าที่ได้รับการยอมรับเป็นเมืองมรดกโลก ก็อาจจะทำให้เมืองเก่าแห่งนี้ถูกลดถอยความสำคัญในอนาคตได้

ภาพจาก : http://magicartworld.com/palmbook-photos-by-chakrit-yau/

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(iii) เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรม หรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว


อ้างอิง :
ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.thaiwhic.go.th/heritage_culture2.aspx 

TrueLife. “5 แหล่งมรดกโลกในไทย มีที่ไหนบ้าง?” [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มาhttp://knowledge.truelife.com/content/detail/111544 ( 9 กรกฎาคม 2557)
Read more →

มรดกโลกในไทย 1 : แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง

ประเภท : มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ.2535
ชื่อเป็นทางการ : แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง (Ban Chiang Archaeological Site) 
ที่ตั้ง : จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย
เรียบเรียง : กรรณิการ์  ยศตื้อ

แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง (Ban Chiang Archaeological Site) 

ความเป็นมา

แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง (Ban Chiang Archaeological Site) เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่อยู่ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่ค้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงให้เห็นขั้นตอนสำคัญของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และวิชาการของมนุษย์ รวมทั้งแสดงหลักฐานของการเกษตรกรรม แหล่งผลิตและการใช้โลหะในภูมิภาค ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัตศาสตร์ ย้อนหลังไปกว่า 4,300 ปี ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทยสมัยดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถดำรงชีวิต และสร้างสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน วัฒนธรรมบ้านเชียง ได้ครอบคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่งเป็น บริเวณพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่อาศัยหนาแน่นมาตั้งแต่หลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เององค์การยูเนสโก ของสหประชาชาติจึงได้ยอมรับขึ้นบัญชีแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียงไว้เป็นแห่ง หนึ่งในบรรดามรดกโลก

ภาพจาก : http://kongpaa.blogspot.com/p/1.html

ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ

 แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกประมาณ 60 กิโลเมตร แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่บนเนินดินสูง รูปยาวรี ตามแนวตะวันออก - ตะวันตก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ กลางเนินสูงกว่าพื้นที่รอบ ๆ ราว 8 เมตร ราษฎรชาวบ้านเชียงในปัจจุบันมีเชื้อสายลาวพวนที่อพยพเคลื่อนย้ายชุมชนมาจากแขวงเชียงขวางประเทศลาว เมื่อ 200 ปีมาแล้ว

ความสำคัญ

ด้วยคุณค่าและความสำคัญของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างแก่ชุมชนในปัจจุบัน บ้านเชียงได้กลายเป็นหมู่บ้านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะแหล่งมรดกโลก ด้านวิชาการ ข้อมูล และโบราณวัตถุจำนวนมหาศาลได้รับการวิเคราะห์แปลความ  โดยนักโบราณคดีที่ทำการศึกษาตามหลักวิชาการ แต่อย่างไรก็ตามแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้ถูกลักลอบขุดค้น และซื้อขายในตลาดมืดกันอย่างมากมาย โดยทางราชการก็ได้ใช้มาตรการทางกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พุทธ-ศักราช 2535 รวมถึงประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 189 ที่ห้ามการขุดค้นในพื้นที่บ้านเชียงและบริเวณโดยรอบ ปัจจุบันชุมชนบ้านเชียง ได้มีขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย จึงต้องเร่งกำหนดขอบพื้นที่ที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อรักษาแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง มิให้ถูกทำลายหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ดังนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจ และความร่วมมือร่วมใจกันของทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อช่วยกันอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญแห่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดต่ออนุชนรุ่นหลังต่อไป

ภาพจาก : http://52010911401.blogspot.com/2012/09/blog-post.html

ภาพจาก : http://theworldwider.net/travel/city-spotlight/city-guide-best-of-udon-thani/

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พุทธศักราช 2535 จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(iii) เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยะธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว


อ้างอิง :
ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. กระทรวงวัฒนธรรม . “แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง” [ระบบออนไลน์].
แหล่งที่มา http://www.thaiwhic.go.th/heritage_culture3.aspx  (9 กรกฎาคม 2557)

TrueLife. “5 แหล่งมรดกโลกในไทย มีที่ไหนบ้าง?” [ระบบออนไลน์].  แหล่งที่มาhttp://knowledge.truelife.com/content/detail/111544 ( 9 กรกฎาคม 2557)
Read more →

มรดกโลกในกัมพูชา 2 : ปราสาทพระวิหาร

ประเภท : มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน : พ.ศ.2551
ชื่อเป็นทางการ : ปราสาทพระวิหาร  (Temple of Preah Vihear) 
ที่ตั้ง : จังหวัดพระวิหาร กัมพูชา
เรียบเรียง : อุบลรัตน์  มีโชค

ปราสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear) 

ความเป็นมา

ปราสาทพระวิหาร  (Temple of Preah Vihear)  เป็นโบราณสถานอายุประมาณ 1,000 ปี ซึ่งชาวไทยมักเรียกว่า “เขาพระวิหาร” และที่ประเทศกัมพูชาเรียกขานว่า “เปรี๊ยะวิเฮียร์” สร้างขึ้นในหลายรัชสมัยของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรขอมเริ่มก่อสร้างตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งปกครองอาณาจักรในช่วงปี พ.ศ.1345-1388 และนักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่าปราสาทพระวิหารสร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พศ. 1656-1693) สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าคือพระศิวะ ของศาสนาฮินดู
ปราสาทพระวิหาร 
ภาพจาก : http://deworde.blogspot.com/2014/01/rihla-journey-41-angkor-cambodia.html

ที่ตั้ง

ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนผาเป้ยตาดี (Pey Tadi) ของเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา การเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารขึ้นได้สองทาง คือ ฝั่งไทยเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ  ส่วนกัมพูชาได้สร้างถนนคอนกรีตยาว 3  กิโลเมตรไต่เขาขึ้นไปยังปราสาทพระวิหาร เขตอำเภอจอมกระสาน จังหวัดพระวิหาร

ความสำคัญและลักษณะทางสถาปัตยกรรม

ปราสาทมีความโดดเด่นที่ทำเลที่ตั้งปราสาท ซึ่งอยู่บนชะง่อนผาหิน ซึ่งเรียกว่าผาเป้ยตาดี มองลงมาเห็นทิวทัศน์ของประเทศกัมพูชา ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมคือ เป็นกลุ่มปราสาทที่มีระเบียงคดเชื่อมระหว่างปราสาทแต่ละหลังเริ่มตั้งแต่ทางลาดต่ำเชิงเขาเป็นทิวขึ้นไปจุดถึงสุดผาชัน ปราสาทพระวิหารมีความเป็นเอกในเชิงสถาปัตยกรรมขอมและการตกแต่งปราสาทด้วยประติมากรรมศิลปะขอมโบราณ ตัวปราสาทมีความยาวในแนวแนวเหนือใต้ 800 เมตร มีความโดดเด่นในการออกแบบ การวางผังปราสาท ประติมากรรมที่นำมาประดับตกแต่งด้วยหินแกะสลักภาพแกะสลักนูนต่ำ กับทั้งการสร้างปราสาทให้มีความสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อม ทำให้ภูมิทัศน์ของปราสาทพระวิหารที่อยู่หน้าผาสูงมีความสง่างามย่างยิ่ง ความสำคัญของปราสาทพระวิหาร เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะที่ทรงประทับบนยอดเขาไกรลาส ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดของเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาล  ทำให้ปราสาทแห่งนี้เปรียบเหมือนการค่อย ๆ ก้าวไปสู่ที่ประทับของพระศิวะ หากมองจากข้างล่างหน้าผาจะเห็นตัวปราสามเหมือนวิมาณสวรรค์ลอยอยู่บนฟากฟ้า โดยมีแผ่นดินเขมรต่ำ ประหนึ่งมหาสมุทรรองรับอยู่เบื้องล่าง

ภาพจาก : http://freehdw.com/wallpaper/preah-vihear-temple-118436.html

ภาพจาก : http://whc.unesco.org/en/documents/123642

การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ปราสาทพระวิหารได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณามรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน 1 ข้อ ดังนี้
(i) เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์



อ้างอิง :
ศุภลักษณ์ สนธิชัย “100 มรดกโลก” สำนักพิมพ์อทิตตา. กรุงเทพฯ: พิมพ์ครั้งที่ 2

สุทธินีย์ พรหมมาลี. “ปราสาทพระวิหาร” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา 
http://suttineemoticha.blogspot.com/2012/07/blog-post.htm (6 กรกฎาคม 2555) 

UNESCO World Heritage Centre. “Temple of Preah Vihear” [online].  Available http://whc.unesco.org/en/list/1224. (20 June 2014)
Read more →